เมนู

ภาคเจ้า ไม่ทรงพยากรณ์ถึงชนผู้บำรุงชาวมคธทั้งหลายที่ทำกาละล่วงไปนานแล้ว
ในการอุบัติทั้งหลาย ก็จะเป็นเหตุให้ชนผู้บำรุงชาวมคธทั้งหลายจะพึงเสียใจว่า
ไฉนพระผู้มีพระภาคเจ้า จึงไม่ทรงพยากรณ์ถึงพวกเขา. พระอานนท์ผู้มีอายุ
ปรารภถึงชนผู้บำรุงชาวมคธนี้ ทูลเลียบเคียงเฉพาะพระพักตร์พระผู้มีพระภาคเจ้า
แล้วลุกจากอาสนะะถวายอภิวาทพระผู้มีพระภาคเจ้าทำประทักษิณหลีกไปแล้ว.
[190] ครั้งนั้นแล เมื่อพระอานนท์ผู้มีอายุหลีกไปไม่นาน ในปุพ-
พัณหสมัยเวลาใกล้รุ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงนุ่งสบง ทรงบาตรและจีวรเสด็จ
เข้าไปบิณฑบาตยังบ้านนาทิกะ เสด็จเที่ยวบิณฑบาตในบ้านนาทิกะ ภายหลัง
ภัต เสด็จกลับจากบิณฑบาตแล้ว ทรงล้างพระบาทเสด็จเข้าพระตำหนัก คิญ-
ชกาวสถะ ทรงปรารภถึงชนผู้บำรุงชาวมคธทรงตั้งพระทัยมนสิการประมวลเหตุ
ทั้งปวงด้วยพระทัย ประทับนั่งบนอาสนะที่ปูลาดไว้ ด้วยทรงพระดำริว่า ผู้
เจริญเหล่านั้นมีคติอย่างใด มีภพหน้าอย่างใด เราจักรู้คติ จักรู้ภพหน้านั้น
ของชนผู้บำรุงชาวมคธเหล่านั้น . พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเห็นชนผู้บำรุงชาวมคธ
ว่าผู้เจริญเหล่านั้นมีคติเป็นอย่างไร มีภพหน้าเป็นอย่างไร. ครั้งนั้นแล ใน
สายัณหสมัยเวลาใกล้เย็น พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จออกจากที่เร้นเสด็จออกจาก
พระตำหนัก คิญชกาวสถะ ประทับนั่งบนอาสนะที่ปูลาดไว้ในร่มเงาวิหาร.

ว่าด้วยชนวสภะ



[191] ครั้งนั้นแล พระอานนท์ผู้มีอายุเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า
ถึงที่ประทับ ครั้นเข้าไปเฝ้าแล้ว ถวายอภิวาทแด่พระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว นั่ง
ณ ที่ควรส่วนสุดข้างหนึ่ง พระอานนท์ผู้มีอายุนั่ง ณ ที่ควรส่วนสุดข้างหนึ่ง ได้
กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรง
มีพระอิริยาบถสงบยิ่ง ทรงมีพระฉวีวรรณแห่งพระพักตร์เปล่งปลั่งยิ่งนัก เพราะ
พระอินทรีย์ทั้งหลายผ่องใสวันนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ด้วยวิหารธรรม

อันสงบแน่. พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูกรอานนท์ ข้อที่เธอปรารภชนผู้บำรุง
ชาวมคธพูดเลียบเคียงเฉพาะหน้าเราแล้ว ลุกจากอาสนะหลีกไป เพราะข้อ
นั้นเป็นเหตุ เราเที่ยวบิณฑบาตในบ้านนาทิกะ ภายหลังภัต กลับจากบิณฑบาต
แล้วล้างเท้าเข้าไปยังที่พัก คิญชกาวสถะแล้ว ปรารภถึงชนผู้บำรุงชาวมคธ ตั้งใจ
มนสิการประมวลเหตุทั้งปวงด้วยใจ นั่งอยู่บนอาสนะที่ปูลาดไว้ด้วยดำริว่า เรา
จักรู้คติ จักรู้ภพหน้าของชาวมคธเหล่านั้นว่า ผู้เจริญเหล่านั้น มีคติเป็น
อย่างไร มีภพหน้าเป็นอย่างไร อานนท์ เราได้เห็นชนผู้บำรุงชาวมคธแล้วว่า
ผู้เจริญเหล่านั้นมีคติเป็นอย่างไร มีภพหน้าเป็นอย่างไร ครั้งนั้นยักษ์ หายไป
เปล่งเสียงให้ได้ยินว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้าข้าพระพุทธเจ้าชื่อว่า ชนวสภะ
ข้าแต่พระสุคต ข้าพระพุทธเจ้าชื่อว่าชนวสภะ อานนท์ เธอรู้หรือไม่ว่า เธอเคย
ฟังชื่อว่า ชนวสภะ เห็นปานนี้ ในกาลก่อนแต่กาลนี้. พระอานนท์กราบทูล
ว่า ข้าพระองค์ไม่รู้เลยว่า เคยได้ฟังชื่อว่า ชนวสภะ เห็นปานนี้ ในกาลก่อน
แต่กาลนี้ อนึ่ง ข้าพระองค์ได้ฟังชื่อว่า ชนวสภะ ทำให้ขนลุกชูชัน ทำให้เกิด
ความคิดว่า ยักษ์ที่มีชื่อว่า ชนวสภะ ไม่ใช่ยักษ์ชั้นต่ำเป็นแน่ๆ พระผู้มีพระ-
ภาคเจ้าตรัสว่า ดูกรอานนท์ ในระหว่างนั้น เสียงได้ปรากฏขึ้น ยักษ์มีผิวพรรณ
อันงามยิ่งได้ปรากฏต่อหน้าเรา ได้เปล่งเสียงให้ได้ยินแม้เป็นครั้งที่สองว่า ข้า
แต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ข้าพระพุทธเจ้าชื่อว่า พิมพิสาร ข้าแต่พระสุคต ข้าพระ-
พุทธเจ้าชื่อ พิมพิสาร ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระพุทธเจ้าเข้าถึงความเป็น
สหายของท้าวเวสวัณมหาราชเป็นครั้งที่ 7 นี้ ข้าพระพุทธเจ้านั้นจุติจากนี้แล้ว
สามารถเป็นราชาในหมู่มนุษย์.
[192] ข้าพระพุทธเจ้าท่องเที่ยวจากเทวโลกนี้
เจ็ดครั้ง จากมนุษยโลกนั้นเจ็ดครั้ง รวม
สิบสี่ครั้ง ย่อมรู้จักภพที่ข้าพระพุทธเจ้าเคย
อยู่อาศัยในกาลก่อน.

ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระพุทธเจ้ามีความไม่ตกต่ำ ทราบชัดถึง
ความไม่ตกต่ำเป็นเวลานาน อนึ่งความหวังเพื่อความเป็นพระสกทาคามีของ
ข้าพระพุทธเจ้ายังคงมีอยู่. พระอานนท์กราบทูลว่า ข้อที่ ชนวสภยักษ์
ประกาศว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระพุทธเจ้ามีความไม่ตกต่ำทราบชัดถึง
ความไม่ตกต่ำเป็นเวลานาน และประกาศว่า ความหวังเพื่อความเป็นพระสก-
ทาคามีของข้าพระพุทธเจ้ายังคงมีอยู่นี้ น่าอัศจรรย์สำหรับท่านชนวสภยักษ์
ไม่เคยมีมาสำหรับท่านชนวสภยักษ์ ก็ท่านชนวสภยักษ์ ทราบชัดถึงการบรรลุ
คุณวิเศษ อันโอฬารเห็นปานนี้จากอะไรเป็นเหตุเล่า. พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า
ชนวสภยักษ์ประกาศว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า นอกจากพระศาสนาของ
พระองค์ ข้าพระพุทธเจ้าไม่รู้จักการบรรลุคุณวิเศษอันโอฬาร ข้าแต่พระสุคต
นอกจากพระศาสนาของพระองค์ ข้าพระพุทธเจ้าไม่รู้จักการบรรลุคุณวิเศษอัน
โอฬาร ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ตั้งแต่วันที่ข้าพระพุทธเจ้าเลื่อมใสอย่างยิ่งใน
พระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นต้นมา ข้าพระพุทธเจ้าไม่ตกต่ำ ทราบชัดถึงความ
ไม่ตกต่ำเป็นเวลานาน และความหวังเพื่อความเป็นพระสกทาคามีของข้าพระ-
พุทธเจ้ายังคงมีอยู่. ข้าพระพุทธเจ้าถูกท้าวเวสวัณมหาราชส่งไปในสำนักของ
ท้าววิรูฬกมหาราชด้วยกรณียกิจบางอย่าง ในระหว่างทางได้เห็นพระผู้มีพระ-
ภาคเจ้า ซึ่งเสด็จเข้าไปสู่พระตำหนักคิญชกาวสถะ ทรงปรารภถึงชนผู้บำรุง
ชาวมคธ ตั้งพระทัยมนสิการประมวลเหตุทั้งปวงด้วยพระทัยประทับอยู่ด้วยทรง
ดำริว่า เรารู้จักคติ รู้จักภพหน้าของชาวมคธเหล่านั้นว่า ผู้เจริญเหล่านั้นมีคติ
เป็นอย่างไร มีภพหน้าเป็นอย่างไร ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้อที่ข้าพระพุทธ-
เจ้ารับคำต่อหน้าท้าวเวสวัณซึ่งกล่าวในบริษัทนั้นว่า ผู้เจริญเหล่านั้นมีคติเป็น
อย่างไร มีภพหน้าเป็นอย่างไร เป็นความอัศจรรย์เล็กน้อย ข้าพระพุทธเจ้า
คิดว่า เราจะเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า และจักกราบทูลข้อนี้แด่พระผู้มีพระภาคเจ้า

ข้าพระพุทธเจ้ามีเหตุ 2 อย่างนี้แล เพื่อที่จะได้เฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า วันก่อนๆ
นานมาแล้ว ในวันอุโบสถที่ 15 แห่งราตรีวันเพ็ญวัสสูปนายิกา เทวดาชั้น
ดาวดึงส์ทั้งสิ้นนั่งประชุมในสุธรรมาสภา เทพบริษัทมากมายนั่งอยู่โดยรอบ
และท้าวมหาราชทั้งสี่นั่งอยู่ใน 4 ทิศ คือ ในทิศบูรพา ท้าวธตรัฏฐมหาราช
นั่งผินหน้าไปทางทิศปัจฉิมแวดล้อมด้วยเทวดาทั้งหลาย ในทิศทักษิณ ท้าว
วิรุฬกมหาราชนั่งผินหน้าไปทางทิศอุดร แวดล้อมด้วยเทวดาทั้งหลาย ในทิศ
ปัจฉิม ท้าววิรูปักขมหาราช นั่งผินหน้าไปทางทิศบูรพา แวดล้อมด้วยเทวดา
ทั้งหลาย ในทิศอุดร ท้าวเวสวัณมหาราช นั่งผินหน้าไปทางทิศทักษิณ
แวดล้อมด้วยเทวดาทั้งหลาย ก็เมื่อเทวดาชั้นดาวดึงส์ทั้งสิ้นนั่งประชุมใน
สุธรรมาสภา เทพบริษัทมากมายนั่งอยู่โดยรอบ และท้าวมหาราชทั้งสี่นั่งอยู่
ในทิศทั้ง 4 นี้ อาสนะของมหาราชทั้งสี่นั้น ข้างหลังถัดออกมาก็เป็นอาสนะ
ของข้าพระพุทธเจ้า เหล่าเทพที่ประพฤติพรหมจรรย์ในพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว
บังเกิดในดาวดึงส์เมื่อกี้นี้ ย่อมไพโรจน์ล่วงเทวดาเหล่าอื่นด้วยวรรณะและยศ
ด้วยเหตุนั้น เทวดาชั้นดาวดึงส์จึงดีใจ เบิกบาน เกิดปีติและโสมนัสว่า ผู้เจริญ
ทั้งหลาย ทิพยกายย่อมบริบูรณ์หนอ อสุรกายย่อมเสื่อมไป ครั้งนั้นแล ท้าว
สักกะจอมเทพ ทรงทราบความบันเทิงของเทวดาชั้นดาวดึงส์แล้ว จึงทรง
บันเทิงตามด้วยคาถาเหล่านี้ ความว่า
[193] ดูก่อนท่านผู้เจริญทั้งหลาย ทวยเทพชั้น
ดาวดึงส์พร้อมกับพระอินทร์ ถวายนมัส-
การพระตถาคตและความที่พระธรรมเป็น
ธรรมดี เห็นทวยเทพใหม่ ๆ มีวรรณะ มี
ยศ ประพฤติพรหมจรรย์ในพระสุคตมา
ประชุม ณ สุธรรมาสภานี้ ย่อมบันเทิงหนอ.

ทวยเทพชั้นดาวดึงส์ ผู้เป็นสาวกของ
พระสุคตผู้ทรงภูริปัญญา บรรลุคุณธรรม
วิเศษแล้วในสุธรรมาสภานี้ ไพโรจน์ล่วง
เทพเหล่าอื่นด้วยวรรณะ ด้วยยศและอายุ.
ทวยเทพ ชั้น ดาวดึงส์ พร้อมกับ พระ-
อินทร์ถวายนมัสการพระตถาคตและความ
ที่พระธรรมเป็นธรรมดี เห็นเหตุนี้แล้วย่อม
บันเทิง ดังนี้.

[194] ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ทราบว่า เพราะเหตุนั้น เทวดาชั้น
ดาวดึงส์ จึงดีใจเกิดปีติและโสมนัสยิ่งประมาณว่า ทิพยกายบริบูรณ์หนอ
อสุรกายย่อมเสื่อมไป ครั้งนั้น ท้าวมหาราชทั้งสี่ ถึงแม้จะมีคำที่เทวดาชั้นดาว-
ดึงส์คิดกันปรึกษากันถึงความประสงค์ ซึ่งเป็นเหตุให้นั่งประชุม ณ สุธรรมา
สภากล่าวแล้ว ก็มีในข้อประสงค์นั้น ท้าวมหาราชทั้งสี่แม้รับคำสั่งกำชับมาแล้ว
ก็มีในข้อประสงค์นั้น ยืนอยู่บนอาสนะของตน ๆ ไม่หลีกไป.
ท้าวมหาราชเหล่านั้นผู้รับถ้อยคำ รับ
คำสั่งแล้ว มีใจผ่องใส สงบระงับ ยืนอยู่
บนอาสนะของตน ๆ ดังนี้.

[195] ครั้งนั้นแล ในทิศอุดร แสงสว่างอย่างยิ่งเกิดขึ้น โอภาส
ปรากฏล่วงซึ่งเทวานุภาพแห่งเทพทั้งหลาย ลำดับนั้น ท้าวสักกะจอมเทพ จึง
ตรัสเรียกทวยเทพชั้นดาวดึงส์ว่า ดูก่อนท่านผู้นิรทุกข์ นิมิตปรากฏ แสงสว่าง
เกิดขึ้น โอภาสปรากฏ พรหมจักเกิดฉันใด ข้อที่ว่าแสงสว่างเกิดขึ้น โอภาส
ปรากฏนั่น เป็นบุพพนิมิตเพื่อเกิดของพรหม ฉันนั้น.

นิมิตปรากฏ พรหมจักเกิดฉันใด ข้อ
ที่ว่าโอภาสรุ่งเรืองใหญ่นั่น เป็นบุพพนิมิต
ของพรหม ฉันนั้น.


ว่าด้วยสนังกุมารพรหม



[196] ครั้งนั้นแล เทวดาชั้นดาวดึงส์ นั่งบนอาสนะของตน ๆ ด้วย
คิดว่า พวกเราจักรู้โอภาสนั่น วิบากใดจักมี พวกเราจักทำให้แจ้งซึ่งวิบากนั่น
ก่อนแล้วจึงไป. ท้าวมหาราชแม้ทั้งสี่นั่งบนอาสนะของตน ๆ ด้วยคิดว่า พวก
เราจักรู้โอภาสนั่น วิบากใดจักมี พวกเราจักทำให้แจ้ง ซึ่งวิบากนั้นก่อนแล้ว
จึงไป. เทวดาชั้นดาวดึงส์ฟังข้อความนี้แล้วเข้าสงบอารมณ์ว่า พวกเราจักรู้
โอภาสนั่น วิบากใดจักมี พวกเราจักกระทำให้แจ้งซึ่งวิบากนั้นก่อนแล้ว
จึงไป ในเวลาใด สนังกุมารพรหมปรากฏแก่เทวดาชั้นดาวดึงส์ ก็นิรมิต
อัตภาพใหญ่ยิ่ง เพศปรกติของพรหมอันเทพเหล่าอื่นไม่พึงมองเห็น ก็ปรากฏ
ในสายตาของเทวดาชั้นดาวดึงส์ ในเวลาใดที่สนังกุมารพรหมปรากฏแก่เทวดา
ชั้นดาวดึงส์ ย่อมรุ่งเรืองล่วงเทวดาเหล่าอื่นด้วยวรรณะและยศ เทวดามีกาย
เป็นทองคำ ย่อมรุ่งเรืองล่วงกายมนุษย์แม้ฉันใด ในเวลาที่สนังกุมารพรหม
ปรากฏแก่เทวดาชั้นดาวดึงส์ ย่อมรุ่งเรืองล่วงเทพเหล่าอื่นด้วยวรรณะและยศ
ฉันนั้นเหมือนกัน ในเวลาใด สนังกุมารพรหมปรากฏแก่เทวดาชั้นดาวดึงส์
เทพบางองค์ในบริษัทนั้น ไม่ไหว้ ไม่ต้อนรับ หรือไม่เชิญด้วยอาสนะ
เทพทั้งหมดเทียว นั่งนิ่งประคองอัญชลีอยู่บนบัลลังก์ บัดนี้ สนังกุมารพรหม
จักปรารถนาต่อเทพองค์ใด ก็จักนั่งบนบัลลังก์ของเทพองค์นั้น สนังกุมาร-
พรหมนั่งบนบัลลังก์ของเทพองค์ใดแล เทพองค์นั้นย่อมได้ความยินดีอย่างยิ่ง
ย่อมได้ความโสมนัสอย่างยิ่ง พระราชาผู้กษัตริย์ได้มุรธาภิเษกแล้ว ทรง